Facebook เปิดตัว “Libra” สกุลเงินดิจิทัลของตัวเอง ใครสงสัยว่าคืออะไร จะส่งผลกระทบยังไงต่อโลกบ้าง มาทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน
เมื่อ Facebook เปิดตัวสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ของตัวเองที่ชื่อว่า “Libra” โดย มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก โพสต์ผ่าน Facebook ส่วนตัวว่า Libra จะเป็นสกุลเงินที่มีอิทธิพลต่อคนนับพันล้านคนทั่วโลกและช่วยแก้ปัญหาระบบการเงินแบบดั้งเดิมที่หลายคนไม่สามารถเข้าถึงได้
กระแสของ Libra ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เชื่อว่าหลายคนน่าจะสงสัยว่าสกุลเงินดิจิทัลของ Facebook ที่ว่านี้มีที่มาที่ไปยังไง แล้วจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการเงินทั่วโลกจริงไหม
เหรียญ Libra คืออะไร ?
Libra เป็นสกุลเงินดิจิทัลชนิดหนึ่งที่ถูกพัฒนาบนเทคโนโลยี Blockchain เช่นเดียวกับเงินดิจิทัลอื่น ๆ ที่เราคุ้นเคยอย่าง Bitcoin Ethereum หรือ Ripple
โดย Libra มีเป้าหมายเป็นตัวกลางแลกเปลี่ยนเงินบนระบบออนไลน์ เพื่อให้คนใช้เงินสดน้อยลงและหันมาทำธุรกรรมด้วยเงินดิจิทัลโดยมีค่าธรรมเนียมในระดับที่ต่ำมาก นอกจากนี้ Libra จะช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย
จุดที่น่าสนใจของ Libra นอกจากจะถูกพัฒนาโดย Facebook แล้ว ยังเป็นสกุลเงินที่ถูกกำกับดูแลด้วยหน่วยงานอิสระที่ชื่อว่า “The Libra Association” ซึ่งเบื้องต้นมีบริษัทชั้นนำของโลกอีก 27 แห่งร่วมมือกัน เช่น Mastercard, PayPal, eBay, Spotify, Uber, Coinbase, Booking Holdings และ Vodafone Groupเป็นต้น และคาดว่าจะมีบริษัทอื่น ๆ เข้าร่วมอีกในอนาคต
เหรียญ Libra ถูกกำหนดราคาจากอะไร ?
สกุลเงิน Libra ถูกออกแบบให้รองรับการใช้งานของคนจำนวนมหาศาล Facebook จึงต้องการให้ราคาของ Libra มีเสถียรภาพไม่ต่างไปจากสกุลเงินหลักจริง ๆ
ดังนั้น มูลค่าของ Libra จึงถูกค้ำประกันจากหลาย ๆ สินทรัพย์ที่มีอยู่จริงทั่วโลก เช่น สกุลเงินหลักของประเทศต่าง ๆ หรือ พันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น นอกจากนี้ก็จะถูกกำกับดูแลโดย The Libra Association ไปพร้อม ๆ กันด้วย
หมายความว่าสกุลเงินดิจิทัล Libra จะถูกกำหนดมูลค่าไว้ค่อนข้างตายตัว เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานแลกเปลี่ยน เพราะไม่ต้องคอยกังวลว่าราคาจะผันผวนขึ้นลงแบบรวดเร็ว เหมือนเงินดิจิทัลหลาย ๆ ตัวในปัจจุบัน
Libra กับ Bitcoin เหมือนหรือต่างกันยังไง ?
เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยว่า Libra นั้นมีอะไรที่แตกต่างจาก Bitcoin หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ โดยจุดที่เหมือนกันของ Libra และ Bitcoin คือทั้งคู่เป็น Crypto currency ที่ทำงานบนเทคโนโลยี Blockchain มีการซื้อ-ขายบนระบบออนไลน์เช่นกัน
แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้สกุลเงินนี้ต่างจาก Bitcoin ก็เพราะว่าคอนเซ็ปต์เริ่มต้นของ Libra คือการเป็น “Stable Coin” โดยให้มูลค่ายึดโยงกับสกุลเงินจริงและมีสินทรัพย์ค้ำประกันราคาไว้
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ Libra ลดความผันผวนจากการถูกเก็งกำไรได้ดีกว่า ต่างจาก Bitcoin ที่เป็นอิสระจากการถูกควบคุมราคา แต่ก็ต้องแลกมาด้วยมูลค่าที่ผันผวนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลาตามกลไกตลาดนั่นเอง
เหรียญ Libra จะเริ่มใช้จริงได้เมื่อไหร่ ?
Facebook ได้ประกาศแล้วว่าจะเปิดให้ใช้ Libra อย่างเป็นทางการในปี 2020 พร้อมเปิดตัวกระเป๋าเงินดิจิทัล (wallet) ที่ชื่อว่า “Calibra” โดยช่วงเริ่มต้นจะเปิดให้ใช้งานผ่านแอปพลิเคชันอย่าง Facebook Messenger และ WhatsApp เพื่อโอนเงิน Libra ให้กันได้
นอกจากนี้ Facebook ระบุในแผนอนาคตว่าจะมีธุรกรรมทางการเงินอื่น ๆ ที่เกี่ยวของกับไลฟ์สไตล์ของผู้คนตามมา เช่น การชำระบิลออนไลน์ ซื้อสินค้าผ่าน QR Code หรือแม้แต่การซื้อกาแฟได้แบบง่ายดาย โดยไม่ต้องพกเงินสดเลยหรือมีบัญชีธนาคารเลยด้วยซ้ำ
เหรียญ Libra มีความเสี่ยงไหม
เรื่องความปลอดภัยของสกุลเงินดิจิทัลยังเป็นสิ่งที่หลายคนกังวลอยู่เสมอ แม้ว่า Facebook จะยืนยันว่าทั้งกระเป๋าเงินดิจิทัล Calibra และสกุลเงิน Libra มีการยืนยันความปลอดภัยที่รัดกุมแบบเดียวกับธนาคารในปัจจุบัน และมีหน่วยงานให้ความช่วยเหลือ 24 ชั่วโมง อีกทั้งยังได้แยกบัญชี Libra กับ Facebook ออกจากกันชัดเจน ดังนั้นแม้บัญชี Facebook จะถูกแฮกก็จะไม่กระทบกับกระเป๋าเงิน Calibra นอกจากนี้ Facebook ยืนยันว่าจะไม่มีการเก็บข้อมูลใด ๆ จากการทำธุรกรรมเพื่อนำไปใช้โฆษณาทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดี ล่าสุดมีข่าวว่ารัฐมนตรีเศรษฐกิจของฝรั่งเศส ก็ได้แสดงความกังวลว่า Facebook อาจอาศัยช่องทางนี้เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานได้ และเรียกร้องให้ธนาคารกลางของกลุ่มประเทศ G-7 (แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ) ทบทวนการใช้งานสกุลเงินดิจิทัลนี้ในประเทศอีกด้วย
สุดท้ายคงต้องติดตามต่อไปว่าเมื่อเหรียญดิจิทัลของ Facebook ถูกนำออกมาใช้จริงถึงตอนนั้นจะส่งผลกระทบและได้รับการตอบรับจากรัฐบาล สถาบันการเงิน และผู้ใช้งานทั่วโลกมากน้อยแค่ไหน
โดยผู้เชี่ยวชาญสกุลเงินดิจิทัล มองกรุงเทพฯ จะเป็นเมืองที่ใช้สกุลเงิน Libra อันดับ 1 ของโลก เพราะเป็นเมืองที่มีเครือข่ายและจำนวนผู้ใช้ Facebook มากเป็นอันดับ 1 ของโลก คือ 25 ล้านคน ขณะที่ภาพรวมประเทศไทยก็มีการใช้ Facebook สูงเป็นอันดับที่ 7 ของโลก หรือกว่า 52 ล้านคน
แชร์โพสนี้
Add Comment