หลายคนบ่นธุรกิจไม่ดี .. พูดกันจากมุมมองเฉพาะของตนเป็นส่วนใหญ่
คนที่กระทบ ส่วนมากคือคนที่ทำอะไรแบบเดิมๆ มายี่สิบ-สามสิบปีแล้ว ดังนั้นโลกจึงมีคนที่มีทักษะและคิดในวิถีคิดเดิมๆ อยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง มีตำรามากมายและกูรูชี้ทางไว้เกลื่อนว่า.. “ทำแบบนี้สิ คิดแบบนี้สิ แล้วจะสำเร็จ” .. ทุกคนก็แห่เดินตามไป หลายพันล้านคน ดังนั้นไม่แปลกที่เวลามันพัง ก็พังเป็นพันล้านคน.. แต่ถ้าเรารู้จักศึกษาอดีต เราก็จะรู้ว่า นี่มันเป็นเรื่องปรกติ.. เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม นวัตกรรมต่างๆ ในโลก มีเวลาวงรอบของมันที่จะปฏิวัติตัวมันเองมาเสมอๆ เป็นระยะๆ ไม่มีอะไรนิ่งอยู่กับที่นานๆ หรอก และตอนนี้ช่วงเวลานั้นก็มาถึง.. เทคโนโลยีต่างๆ พัฒนามาถึงจุดที่ก้าวหน้ายกระดับไปอีกระดับหนึ่งซึ่งล้ำมาก.. ดังนั้นทุกส่วนจึงต้องปรับตาม แม้แต่ตัวเราเอง.
ในขณะที่หลายคนแย่ แต่เหตุใดมีอีกหลายคนที่รุ่งเรือง…?
คำถามข้อนี้คุณต้องใช้ปัญญาวิเคราะห์เองเป็นกรณีไป เพราะแต่ละกรณีที่ทวนกระแสเหล่านี้ยังไม่มีกูรูหน้าไหนรู้มากพอมาสำแดง ก็เพราะมันยังเป็นเรื่องใหม่น่ะสิ จนกว่าความคิดใหม่ทั้งหลายเหล่านี้จะมีคนแห่ไปทำตามกันเกลื่อนนั่นแหละ ถึงจะมีคนมาเขียนตำราสะกดจิตให้คนเดินตามกันอีกเป็นสิบปี.. ผมยังจำวันแรกๆ ที่ไม่มีใครสนใจของ Apple Computer และ Steve Job ก่อนที่มันจะทวนกระแสขึ้นมาจนกลายเป็นนวัตกรรมล้ำโลก.. สตีฟ ไม่เคยเดินตามคนอื่นหรือกระแสโลก ดังนั้นเขาจึงไม่เจ๊งไปพร้อมๆ คนอื่นมากมายที่ตามกระแส และมีโอกาสที่จะรุ่งโรจน์มากกว่าเมื่อแตกต่างจากคนอื่น.. คือ ถ้าจะเจ๊งก็เจ๊งคนเดียว แต่ถ้ารวย ก็รวยเละคนเดียวเช่นกัน.
เป็นความจริงว่า.. ธุรกิจแบบที่โลกนิยมทำกันมาตลอดหลายสิบปีนั้น กำลังเสื่อมลง.. มันเสื่อมลงด้วยเหตุดังกล่าวนั่นแหละ ขณะที่โลกเปลี่ยน คนเปลี่ยน จังหวะเวลาในชีวิตเปลี่ยน ทุกสิ่งเปลี่ยน ฯลฯ.. ยกตัวอย่าง เมื่อเราลองมองดูนักการตลาด พวกเขาทุกคนล้วนจบการตลาดมาจากตำราที่เขียนจากความสำเร็จของคนเมื่อสามสิบปีที่แล้ว แล้วมหาวิทยาลัยก็สอนหลักสูตรการตลาดเช่นนี้ไปทุกหนแห่ง สอนเหมือนๆ กัน ผลิตนักการตลาดที่วางแผนการตลาดตามกลยุทธที่จดจำมีประสบการณ์มาจากอดีต.. เดินหน้า ถอยหลัง เลี้ยวซ้ายขวาไปตามที่ถูกสอนให้เชื่อ.. ขณะที่พฤติกรรมผู้คนวันนี้ไม่เหมือนเมื่อสามสิบปีที่แล้ว วิธีการเดิมย่อมไม่อาจจะประสบผลเช่นเดิมไปได้ตลอด เช่นเดียวกับฝ่าตีนที่เดินมานานๆ ย่อมด้านย่อมทนขึ้นเป็นธรรมดา
เวลาที่มีคำเตือนเช่นนี้มาถึง ให้คิดให้รอบด้าน ให้เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลที่จะวิเคราะห์ขนานไปกับข้อมูลอื่น มันอาจเป็นข้อมูลลวงที่ใครบางคนหย่อนให้กระแสเหวี่ยงไปในทางที่เขาต้องการก็ได้.. แต่สิ่งที่แน่นอนอยู่อย่างในเวลานี้ก็คือ แม้ว่าคุณรู้ตัวว่าคุณมีคุณค่าคุณภาพมากพอก็ตาม ไม่ว่าสินค้าหรืองานการที่คุณทำอยู่จะเป็นอะไร มันก็ได้เวลาที่จะปรับเปลี่ยนให้เคลื่อนไปตามปัจจัยรอบด้านแล้ว ก็เหมือนที่ยีนของคนเราที่กลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลานั่นแหละ
มีบางสิ่งที่อาจทำให้คุณเห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายๆ.. เช่น อาหาร.. มีคนที่ประกอบอาชีพทำร้านอาหาร ขายอาหารมากมาย อยู่ทุกหนแห่ง .. มีคนเจ๊ง และมีคนรวย .. แต่ด้วยข้อเท็จจริงง่ายๆ คือ คนเราต้องกิน ธุรกิจอาหารจึงเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเสมอ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ในขณะที่เศรษฐกิจอื่นอาจแย่ลง.. มีตัวอย่างให้เห็น ไม่ต้องไปฝันถึงเฟรนด์ไชลด์ใหญ่โตที่ไหน มีพ่อค้าเล็กๆ บางคนที่ทำอาหารเพียงแค่ 1 อย่างเท่านั้น แต่อร่อยโคตรๆ ไปเลย เช่น ผัดกะเพรา เขาสามารถรวยเป็นเศรษฐีได้และเปิดขายมาสามชั่วคนแล้ว ขณะที่บางร้านมี 50 เมนู แต่เจ๊งไปภายในเวลาหนึ่งเดือน นี่เพราะอะไร? พื้นฐานคำตอบที่สำคัญที่สุดในที่นี้ ก็คือคุณค่าของงานและคุณภาพของตัวผู้ขายนั่นเอง ด้วยปัจจัยที่มีนี้บวกกับการตลาดที่ปรับเปลี่ยนไปตามความเป็นไปในโลก คุณจะยังคงประสบความสำเร็จได้ แม้จะมีคนพูดกันไปทั่วว่าธุรกิจขายอาหารกำลังตกต่ำมีความเสี่ยง.
คุณต้องทำความเข้าใจกับความหมายของ Disruption. มันมากับความซ้ำซากเดิมๆ ถ้าคุณไม่อาจมีคุณค่ากว่าหุ่นยนตร์ คุณก็จะเสียงานคุณให้กับหุ่นยนตร์.. ถ้าคุณต้องพึ่งคนอื่น เศรษฐกิจคุณก็จะพังพินาศเมื่อไม่มีใครให้พึ่งพา.. ถ้าคุณเดินตามกระแสชี้นำในตลาดหุ้น ถ้ามันพินาศ คุณก็จะพินาศไปด้วย ..
ผมมีน้องคนนึง ริเริ่ม SME ของตัวเอง ด้วย Innovative ของตัวเอง เป็นโปรแกรมเมอร์และนักพัฒนา hardware ขณะที่ใครๆกำลังร้องโอดครวญว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่เขากลับพุ่งไปข้างหน้าไม่หยุด .. เขาทำอะไร? เขาทำธุรกิจร้านซักผ้า! เฮ้ย.. แล้วมันตื่นเต้นยังไง? ร้านซักผ้าที่มีเครื่องซักผ้าให้หยอดเหรียญ มีมานานแล้ว.. ธุรกิจพวกนี้มีเต็มไปหมด ถ้าคุณเดินตามรอยพวกนั้น วันนี้คงต้องร้องโอดครวญ Disruption ไปด้วย..
แต่ไอ้น้องผมคนนี้ ใช้คุณค่าที่มีอยู่ในตัวเอง นั่นคือทักษะทางการเขียนโปรแกรมและการพัฒนาฮ๊าร์ดแวร์คอนโทรลเลอร์ เปลี่ยนกิจการซักผ้าธรรมดานี้ให้เป็นนวัตกรรมชื่อ “Wash Coin”
ซึ่งแน่นอนว่า สอดรับกับทิศทางการเปลี่ยนของเทคโนโลยีในโลก กิจการนี้จึงใช้โทรศัพท์มือถือในการเข้าใช้บริการ, จองคิวล่วงหน้า, จ่ายค่าบริการ, สะสมแต้ม…ฯ สารพัดลูกเล่นที่ทำให้คนใช้บริการสะดวก..
ผลคือธุรกิจเติบโตไม่หยุดยั้งในขณะที่ใครๆ พากันบ่นว่าเศรษฐกิจไม่ดี…. คุณค่าในที่นี้ ไม่ได้อยู่ที่ เครื่องซักผ้าที่ใครก็ซื้อได้ แต่มันอยู่ที่ระบบที่เขาออกแบบมาโดยเฉพาะ เป็นของเขาเองและได้รับสิทธิบัตรคุ้มครองในนวัตกรรมนี้
ทั้งหมดนี่มาจากคุณค่าที่มีอยู่ในปัญญาความรู้ของตัวเขานั่นเอง มันไม่ได้พึ่งพาส่วนอื่น.. ผู้ผลิตเครื่องเครื่องซักผ้าแทบทุกยี่ห้ออยากวิ่งมาหาเขา ให้เลือกเครื่องของเขาสำหรับระบบนี้ ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยมากมายหลายแห่ง ก็ต้องการระบบนี้ไปติดตั้งแทนระบบหยอดเหรียญเดิมที่เป็นภาระต้องดูแลและมีปัญหาวุ่นวายเสมอ..
ขณะที่ผู้ใช้บริการทุกคนชอบ เพราะไม่ต้องไปนั่งรอคิวที่ร้านจนกว่าเครื่องจะว่าง ซึ่งบางทีอาจเร็ว แต่บางทีก็ต้องไปนั่งรอนานมาก การใช้นวัตกรรมนี้คุณสามารถบุ๊คคิวได้ รู้ว่าเครื่องไหนว่างเมื่อไหร่ บุ๊คแล้วก็หอบผ้ามาตามเวลาที่จองไว้ กดรหัสที่จอง เครื่องจะเปิดทำงานให้กับคนที่จอง ใครมามั่วนิ่มไม่จองมาดักแซงหน้าเอา เครื่องไม่มีทางใช้ได้.. นี่คือตัวอย่าง ธุรกิจธรรมดา แต่ไม่ Disruption ..
คิดดูดีๆ คุณค่าและคุณภาพอยู่ที่ตัวคุณนั่นเอง การทำสิ่งที่คุณชำนาญที่สุด ยังคงเป็นทางเลือกดีที่สุดนั่นแหละ ไม่ต้องไปเริ่มหาธุรกิจหรืออาชีพใหม่ เพียงแต่คุณต้องดูว่า ความชำนาญเดิมของคุณนี้ “มันย่ำอยู่กับที่มานานแค่ไหน” และคุณจะใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมใหม่ๆ อะไรได้บ้าง ให้สอดรับกับพฤติกรรมโลก. เช่นถ้าคุณผลิตรองเท้า คุณไม่จำเป็นต้องเลิกผลิตรองเท้า ตราบเท่าที่คุณค่าและคุณภาพของคุณดังที่ผมกล่าวไปข้างต้น ยังเข้มข้นและพัฒนาเสมอ.. ผมมีคนรู้จักอีกคนนึงที่ผลิตรองเท้า แน่นอนว่าคุณค่าของเขาคือการออกแบบที่น่าทึ่งและคุณภาพที่ปราณีตทนทาน แต่การตลาดที่แตกต่างของเขาก็สำคัญที่ทำให้อยู่รอดได้ในภาวะ Disruption.. คือ มันใส่แล้วดูตัวสูงขึ้น นอกเหนือจากนั้นเขายัง Customize ให้ลูกค้าแต่ละคนด้วย รองเท้าถูกออกแบบอย่างแนบเนียนให้ดูเผินๆ คล้ายรองเท้าปกติ ไม่ใช่ดูเป็นรองเท้าส้นสูง แต่พื้นและรองพื้นถูกออกแบบให้ยกผู้ใส่ให้ดูสูงขึ้น … นี่คืออีกกรณีของการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สินค้ามีความความแตกต่างโดดเด่น เป็นการปรับเปลี่ยนที่บวกเพิ่มไปในคุณค่าและคุณภาพ ไม่เช่นนั้นแล้ว ธุรกิจของเขาคงต้อง Disruption ไปเพราะ Lazada และ Ali-Express เป็นแน่แท้… อ่านแล้ว ลองพิจารณาตัวเองเสียแต่วันนี้.
เขียนโดย คุณพงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (พี่ปุ้ม)
อดีตสมาชิกวงแมคอินทอชและวงตาวัน
จากเฟสบุ๊ก
Pongprom Snitwong Na Ayuthaya
แชร์โพสนี้
Add Comment