แอปเปิล ประเดิมงาน Apple Event ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง HomePod mini ลำโพงขนาดไซส์มินิ
ทั้งนี้ HomePod mini เป็นผลิตภัณฑ์ที่ต่อยอดจาก HomePod ที่เปิดตัวในงาน WWDC 2017 ก่อนที่จะวางจำหน่ายในช่วงต้นปี 2018
HomePod mini สามารถทำงานร่วมกับ Apple Music และ Siri ระบบปัญญาประดิษฐ์ ที่เปรียบเสมือนเป็นเลขาส่วนตัวของผู้ใช้งาน
นอกจากนี้ ยังสามารถทำงานร่วมกับ Apple Podcast แอปพลิเคชัน iHeartRadio, Radio.com, TuneIN รวมถึงการเป็น SmartHome ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านได้ด้วย
HomePod mini เป็นผลิตภัณฑ์ที่แอปเปิลหวังนำมาสู้กับ Amazon Echo และ Nest Audio ของกูเกิล
สำหรับ HomePod mini จะมีด้วยกันสองสี ได้แก่ สีดำ และสีขาว เปิดตัวราคา 99 ดอลลาร์สหรัฐ
ในแง่การออกแบบ iPhone 12 ยังมีรอยบาก (notch) บริเวณด้านบนของตัวเครื่อง ขณะที่ด้านหลังตัวเครื่องเป็นกล้องจำนวน 2 ตัว โดยที่กล้อง wide และ ultrawide ขนาด 12 ล้านพิกเซลเท่ากัน
พร้อมกันนี้ ได้เสริมสิ่งที่เรียกว่า Ceramic Shield ที่แอปเปิลบอกว่าทนต่อการตกกระแทกได้เป็นอย่างดี
ทางด้านชิปประมวลผล แอปเปิล เปิดเผยว่า iPhone 12 ใช้ชิปประมวลผล A14 Bionic ซึ่งการันตีด้วยว่า สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ด้านการเล่นเกมได้เป็นอย่างดี มีการทำงานที่ลื่นไหล
พร้อมกันนี้ iPhone 12 ยังเป็นรุ่นแรกที่รองรับการเชื่อมต่อไร้สาย 5G
iPhone 12 จะมีให้เลือกด้วยกัน 5 สี ได้แก่ สีดำ สีขาว สีเขียว สีแดง และสีฟ้า
หลังจากเสร็จสิ้นการบรรยายสรรพคุณของ iPhone 12 ก็เป็นคิวของ iPhone 12 mini ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นเล็ก ที่เปรียบดั่งเป็นสมาร์ทโฟนแฝดต่างกันที่ขนาดเท่านั้น ซึ่ง iPhone 12 mini มีขนาดหน้าจอ 5.4 นิ้ว
สำหรับเรื่องของราคา iPhone 12 จะอยู่ที่ 799 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วน iPhone 12 mini ถูกกว่านั้น 100 ดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 699 ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro Max สมาร์ทโฟนใหญ่เบิ้ม และจะเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงสำคัญของแอปเปิลในอีก 1 ปีหลังจากนี้
Maxแน่นอนว่าทั้งสองรุ่นรองรับการเชื่อมต่อไร้สาย 5G ที่ดูจะเป็นจุดขายของแอปเปิล บนเวที Apple Event ของเดือนตุลาคม
ในด้านการออกแบบ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max มีความคล้ายคลึงกับ iPhone 4 หนึ่งในรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงของแอปเปิล พร้อมกันนี้แอปเปิลได้เพิ่มสิ่งที่เรียกว่า Ceramic Shield เพื่อรองรับการตกและแรงกระแทกเข้ามา
ทั้งนี้ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max เป็นสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ ขนาด 6.1 นิ้ว และ 6.7 นิ้ว ตามลำดับ
ในเรื่องของขุมกำลังในการประมวลผล โมเดลของ iPhone 12 Pro ใช้ชิปประมวลผล A14 Bionic ซึ่งแอปเปิลยืนยันว่ามีขุมพลังที่ดีกว่าชิปประมวลผลรุ่นก่อนๆ ที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ ในการเปิดตัวแอปเปิลได้พูดถึงสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใหม่อย่าง LIDAR scanner ที่จะช่วยโฟกัสการถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อย การปรับออโตโฟกัส และการถ่ายภาพ Portrait เวลากลางคืนเข้ามาอีกด้วย
ทางด้านกล้อง ยังคงมีด้วยกัน 3 ตัว ประกอบไปด้วย telephoto, wide และ ultrawide ขนาด 12 ล้านพิกเซล พร้อมด้วยการเสริมทัพฟีเจอร์ของกล้องใหม่อย่าง Apple ProRAW ทำให้มีประสิทธิภาพในการปรับแต่งภาพมีความหลากหลายขึ้น
อย่างไรก็ตาม บนเวที Apple Event ที่เปิดตัว iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ไม่ได้มีการพูดถึงหน้าจอรีเฟรชเรต 120Hz ที่ผู้ใช้งานหลายคนคาดหวัง ทำให้ต้องลุ้นกันต่อไปในการเปิดตัว iPhone ปีหน้า
ส่วนเรื่องของสี จะมีด้วยกัน 4 สี ได้แก่ สีดำ สีเงิน สีทอง และสีฟ้า
สำหรับราคา iPhone 12 Pro เริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วน iPhone 12 Pro Max เริ่มต้นที่ 1,099 ดอลลาร์สหรัฐฯ มีออปชันให้เลือก 3 ความจุ 128GB, 256GB และ 512GB โดย iPhone 12 Pro จะเปิดให้พรีออเดอร์ในวันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม เริ่มส่งมอบสินค้า 23 ตุลาคม
แต่ iPhone 12 Pro Max ต้องรอจนถึงวันที่ 6 พฤศจิกายนถึงจะพร้อมเปิดพรีออเดอร์ ก่อนที่จะส่งมอบ 13 พฤศจิกายน
ในส่วนของประเทศไทย ต้องรออีกพักใหญ่ เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้อยู่ในกลุ่ม Tier 1 ของแอปเปิล
ที่มา : ไทยรัฐ
สอบถามแฟรนไชส์ WashCoin ได้ที่แชร์โพสนี้
Add Comment